ปกป้องสมาร์ทโฟนจากการโจมดีทางไซเบอร์ ด้วยนวัตกรรมด้านปลอดภัยสูงสุดของ Samsung

กรุงเทพฯ (9 ธันวาคม 2564) – ปัจจุบันสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการใช้ชีวิต การทำงาน และความบันเทิงซึ่งสำหรับหลาย ๆ คน สมาร์ทโฟนได้กลายเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาพกติดตัวออกจากบ้านแทนที่แล็ปท็อป กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่กุญแจบ้าน

ซึ่งถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจำเป็นจะต้องระมัดระวังอันตรายจากแฮกเกอร์ยามเมื่อใช้งานแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่เราต้องไม่ลืมว่าสมาร์ทโฟนก็มีแนวโน้มที่จะถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ด้วยเช่นกัน โดยแฮกเกอร์มักจะเจาะจงไปที่อุปกรณ์ซึ่งมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งโมบายดีไวซ์คือสิ่งนั้นนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ซัมซุงจึงต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยปกป้องคุณและข้อมูลของคุณจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างดีที่สุด

สมาร์ทโฟนหลายพันล้านเครื่องทั่วโลกล้วนเต็มไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อน ล่อตาล่อใจให้แฮกเกอร์เข้ามาขโมยและขายข้อมูลส่วนตัว ซึ่งจากรายงานของ IronNet บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์พบว่ามีการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นถึง 168% ในระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563 ถึงพฤษภาคม 2564 โดยการโจมตีสมาร์ทโฟนกลายเป็นภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ด้วยเหตุนี้ ซัมซุงจึงมุ่งมั่นที่จะรักษาความปลอดภัยบนสมาร์ทโฟนให้กับผู้ใช้ ด้วย Samsung Knox ที่ให้การปกป้องแบบ end-to-end ตลอดวงจรชีวิตของอุปกรณ์ โดยในบทความนี้ ซัมซุงได้ยกตัวอย่าง 5 สถานการณ์การโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อความปลอดภัยของอุปกรณ์ถูกบุกรุก พร้อมแสดงให้เห็นว่า Samsung Knox สามารถปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคามเหล่านี้ได้อย่างไร

สถานการณ์ที่ 1: การเข้าถึง Backdoor โดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยทั่วไป นักพัฒนามักสร้างซอฟต์แวร์ ‘Backdoor’ สำหรับแอปพลิเคชันและระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนเพื่อให้สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับดีไวซ์ได้สะดวก แต่อย่างไรก็ตาม แฮกเกอร์ก็สามารถค้นพบ Backdoor เพื่อเข้าถึงข้อมูล ได้โดยไม่ต้องผ่านมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

เพื่อป้องกันการเข้าถึง Backdoor โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใช้ไม่ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการรับรอง เพราะการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์อื่นๆ นอกเหนือจากที่ผู้ผลิตติดตั้งไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จะทำให้เหล่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบปฏิบัติการของดีไวซ์ได้อย่างเต็มรูปแบบ และทำให้เกิดมัลแวร์หรือสปายแวร์ที่นำไปสู่การเข้าถึง Backdoor โดยไม่ได้รับอนุญาตได้

วิธีที่ซัมซุงปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคาม: ซัมซุงดำเนินการออกแบบ สร้างสรรค์ และตรวจสอบชิปคอมพิวเตอร์ สายไฟ และส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นก่อนนำไปผลิตสมาร์ทดีไวซ์ของซัมซุงภายในโรงงานที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการเข้าถึง backdoor ของซัมซุงดีไวซ์โดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้ผู้ใช้ได้รับผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้อย่างไว้วางใจ

สถานการณ์ที่ 2: การใช้รหัสผ่านที่ไม่รัดกุม คาดเดาง่าย หรือถูกใช้ซ้ำๆ

ด้วยการเติบโตของโลกดิจิทัล ที่ผู้ใช้มีเหตุจำเป็นต้องสร้างบัญชีใหม่เพื่อรับบริการต่างๆ ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริการตรวจสุขภาพทางไกล (telehealth) บริการเรียกรถ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งการกระทำเหล่านี้กลายเป็นการเปิดช่องทางให้แฮกเกอร์เข้ามาหาประโยชน์โดยไม่รู้ตัว

จากการสำรวจของ IBM[1] ในเดือนสิงหาคม 2564 พบว่า 86% ของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกยอมรับว่าพวกเขาใช้ข้อมูลส่วนตัวชุดเดียวกันซ้ำๆ ในบัญชีออนไลน์หลายบัญชี ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในระดับต่ำ และอาจเป็นการเปิดช่องทางให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้จากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

วิธีที่ซัมซุงปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคาม: ซัมซุงดีไวซ์[2]มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ของเทคโนโลยีการตรวจสอบแบบไบโอเมตริกซ์ ยกตัวอย่างเช่น Ultrasonic Fingerprint ที่จะสามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้แม้ว่าสมาร์ทโฟนจะสูญหายหรือถูกขโมย รวมถึง Samsung Pass[3] ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบไบโอเมตริกซ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลในการเข้าสู่ระบบได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องจำชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่มีมากมายนับไม่ถ้วน[4]! นอกจากนี้ เพื่อยกระดับการปกป้องข้อมูลขึ้นไปอีกขั้น สมาร์ทโฟนซัมซุงยังได้ติดตั้ง Knox Vault ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ความปลอดภัยที่ทำงานแยกจากระบบปฏิบัติการหลัก เพื่อแยกข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของผู้ใช้ออกจากส่วนอื่นๆ ของสมาร์ทโฟนได้อย่างปลอดภัย จึงทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้

สถานการณ์ที่ 3: การเชื่อมต่อ Wi-Fi ฟรี อาจไม่ได้ฟรีเสมอไป

การมีฮอตสปอตให้เชื่อมต่อ Wi-Fi ฟรี ถือเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่ต้องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเพื่อทำงานหรือรับชมความบันเทิง แต่การเชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะอาจทำให้คุณสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลได้ เนื่องจากข้อมูลที่สำคัญ อย่างข้อมูลบัตรเครดิตผ่านการซื้อของออนไลน์ อาจตกไปอยู่ในมือของแฮกเกอร์ผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะเหล่านั้น

วิธีที่ซัมซุงปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคาม: Secure Wi-Fi[5]  จะปกป้องการท่องเว็บไซต์ของคุณด้วยการเข้ารหัสการส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตและปิดใช้งานการติดตามแอปฯและเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสาธารณะโดยไม่ต้องเป็นกังวล[6]

Graphical user interface, application

Description automatically generated

สถานการณ์ที่ 4: การโจมตีแบบฟิชชิง (Phishing) ที่เข้าถึงข้อมูลสำคัญ

ฟิชชิง เป็นการโจมตีประเภทหนึ่งที่อาชญากรไซเบอร์หลอกให้เหยื่อส่งข้อมูลที่สำคัญหรือติดตั้งมัลแวร์[7] ผ่านการปลอมแปลงเป็นลิงก์ ไฟล์แนบ หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ

เมื่อแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของผู้ใช้ พวกเขาสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อเรียกค่าไถ่ ขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่างๆ หรือทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านข้อมูลบัตรเครดิตของคุณ เป็นต้น

วิธีที่ซัมซุงปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคาม: SamsungDevice Care ในสมาร์ทโฟนซัมซุงจะทำการสแกนสมาร์ทโฟนของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อหามัลแวร์หรือกิจกรรมที่น่าสงสัย พร้อมแจ้งเตือนเมื่อคุณเผลอติดตั้งแอปฯ ที่เป็นอันตรายผ่านการตรวจจับจากการป้องกันของ McAfee

Graphical user interface, application

Description automatically generated

นอกจากนี้ Samsung Secure Folder ยังช่วยรักษาข้อมูลให้ปลอดภัย และแยกแอปฯ ที่มีปัญหาภายในโฟลเดอร์ออกจากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลบัตรของคุณจะถูกเข้ารหัสและแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงระหว่างการชำระค่าสินค้าผ่าน Samsung Pay[8] เพื่อปกป้องข้อมูลที่สำคัญของคุณตลอดเวลา

สถานการณ์ที่ 5: จุดอ่อนของช่องโหว่บนอุปกรณ์

เนื่องจากแฮ็กเกอร์และผู้โจมตีทางไซเบอร์พยายามที่จะเจาะเข้าไปในอุปกรณ์อยู่ตลอดเวลา พวกเขาจึงมองหาช่องโหว่อยู่เสมอ ซึ่ง Zero-day คือชื่อเรียกของช่องโหว่ในระบบหรืออุปกรณ์ที่ถูกค้นพบแล้วแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยสิ่งนี้อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากอาชญากรไซเบอร์พุ่งเป้าไปที่ข้อบกพร่องในระบบก่อนที่นักพัฒนาหรือสาธารณชนจะรับรู้เกี่ยวกับช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดนั้น

Graphical user interface, application

Description automatically generated

วิธีที่ซัมซุงปกป้องผู้ใช้จากภัยคุกคาม: Samsung Knox มอบการป้องกันแบบเรียลไทม์ เพื่อปกป้องอุปกรณ์และสมาร์ทโฟนของคุณจากการถูกโจมตีข้อมูลหรือมัลแวร์อยู่เสมอ รวมไปถึงการบล็อกความพยายามในการเข้าถึงหรือแก้ไขหน่วยประมวลผลของสมาร์ทโฟนของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบเรียลไทม์เช่นกัน

เมื่อผู้ใช้รีบูตสมาร์ทโฟนซัมซุง Secure Boot จะถูกเปิดใช้งานเพื่อตรวจจับซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตและบล็อกความพยายามในการเข้าถึงอุปกรณ์ผ่านการรักษาความปลอดภัยหลายชั้นและระดับการป้องกันหลายระดับ[9] หากสมาร์ทโฟนถูกรีบูตในสถานะที่ไม่ผ่านการอนุมัติ Samsung Knox จะล็อคแอปฯที่มีข้อมูลที่สำคัญ เช่น Samsung Pay, Samsung Pass, Secure Folder หรือ Samsung Health โดยอัตโนมัติ

สู่อนาคตที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สมาร์ทโฟนได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตดิจิทัลของเรา ทั้งเมื่ออยู่บ้าน ห้องเรียน หรือแม้แต่ที่ทำงาน ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่อาจทำให้เราตกอยู่ในความเสี่ยง ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและตื่นตัวในการป้องกันตนเองและคนที่เรารักให้ปลอดภัยจากภัยในโลกดิจิทัลนี้

การรักษาความปลอดภัยของซัมซุงไม่ได้หยุดอยู่ที่สมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ซัมซุง ยังได้ขยายความสามารถในการป้องกันของ Knox ไปยังกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเพิ่มระดับการป้องกันอีกขั้นด้วย ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังฉายวิดีโอที่กำลังรับชมบนกาแลคซี่ดีไวซ์ด้วยแอปฯ SmartView[10] ไปที่หน้าจอ Family Hub™ หรือใช้ฟังก์ชัน AI บนเครื่องซักผ้า AI EcoBubble เพื่อปรับการตั้งค่าการซักที่เหมาะสมที่สุด ก็สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยหายห่วง

ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่า ซัมซุง จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรทางดิจิทัลที่มุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวระดับโลก เพื่อทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยทุกขณะ ตั้งแต่การทำงาน เรียน และสนุกสนานไปกับความบันเทิง

รับชมวิดีโอเกี่ยวกับ Samsung Knox เพิ่มเติมได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=4ybzhv9rnAQ